วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10 วิธีกินของหวานแบบไม่อ้วน

    ถึงของหวานๆ จะเย้ายวนกวนกิเลสนัก แต่ถ้าทำตามวิธีต่อไปนี้ ความหวานก็ทำอะไรคุณไม่ได้

    1. ใน 1 วันนักไดเอทไม่ควรจะกินมากกว่า 1,200 แคลอรี ถ้าของหวานของคุณมีแคลอรีสูงนัก งั้นก็เปลี่ยนมื้อเย็นให้เป็นสลัดผักที่มีแคลอรีต่ำสิ จำนวนแคลอรีที่เหลือก็เอาไว้กินของหวานให้ชุ่มปากไปเลย

    2. แทนที่จะกินของหวานมั่วไปหมด ก็พยายามเลือกให้เป็นอะไรที่ดีต่อสุขภาพ และแคลอรีไม่สูงมาก เช่น ผลไม้ราดวิปครีม หรือไอศกรีมไขมันต่ำ

    3. มีผลการวิจัยบอกว่า ถ้าอดใจไม่กินของหวานได้ติดต่อกันถึง 2 สัปดาห์ ความอยากก็จะหายไปเอง ก็ต้องขึ้นอยู่กับความอึดของสาวๆ แล้วล่ะว่าจะทนได้หรือเปล่า

    4.เอาความหวานของผลไม้มาทดแทน ถ้าทานผลไม้ให้มากขึ้น ความอยากของหวานๆ ก็จะน้อยลงไปเอง

    5. ถ้าจะกินให้ได้จริงๆ ควรจะลดปริมาณของหวานลงครึ่งหนึ่ง เช่นปกติ ทานไอศกรีม 3 ก้อนก็กินแค่ก้อนเดียว กินช็อกโกแลต 2 แท่ง ก็กินแค่แท่งเดียว

     6. ทุกวันนี้ขนมแทบทุกอย่างมีตัวตายตัวแทนเป็นของแคลอรีต่ำหมดแล้ว เช่นไอศกรีมไม่มีไขมัน ช็อกโกแลตไขมันต่ำ เค้กแบบไขมันต่ำ ถ้ากินแบบนี้ถึงไม่ต้องอดของหวานแต่ก็สกัดความอ้วนไว้ได้

    7. ใช้ความพอใจในด้านอื่นมาชดเชย เช่น ถ้าอยากกินของหวานก็ให้ดมดอกไม้หอมๆ แทน เพราะประสาทส่วนที่รับความพึงพอใจจะทำงานเหมือนๆ กัน จึงจะช่วยลดความอยากลงได้

    8. มีลูกอม น้ำ หรือ หมากฝรั่งน้ำตาลต่ำติดโต๊ะไว้ ถ้าอยากกินของหวานก็คว้าใส่ปากเคี้ยวแก้ขัดแทน
    9. จิบน้ำชาอุ่นๆ ใส่น้ำตาลเทียมครึ่งซองในระหว่างวัน จะช่วยให้รู้สึกสบายท้องและผ่อนคลายขึ้น เป็นการพบกันครึ่งทางกับความอยากที่กำลังรบกวนจิตใจอยู่ 

    10. ทำของหวานกินเอง เช่น เอาช็อกโกแลตไปต้มให้ละลายแล้วเอามาจุ่มสตรอเบอร์รี่ จากนั้นก็แช่เย็นไว้ให้ช็อกโกแลตแข็งตัว เวลาอยากของหวานก็หยิบมากินครั้งละ 2 ลูก ด้วยวิธีนี้จะได้กินของชอบสมใจแต่ปริมาณน้อยลง เพราะช็อกโกแลตที่เคลือบผิวสตรอเบอร์รี่อยู่น่ะมีนิดเดียวเท่านั้นเอง 

ลดรับประทานของหวานให้น้อยลงเพื่อสุขภาพ




ลดรับประทานของหวานให้น้อยลง
 
 
 
                ขนมหวาน น้ำอัดลม ลูกอม เหล่านี้เป็นต้น ของหวานเหล่านี้มีน้ำตาลมาก เราใช้น้ำตาลทรายขาวที่ผลิตในทางอุตสาหกรรมที่ต้องใช้สารเคมีในการฟอกขาว สารเคมีจะเข้าสู่ร่างกายเรามากขึ้น ในขณะที่น้ำตาลให้ความหวานหรือกลูโคสชนิดออกฤทธิ์เร็ว ร่างกายจะรู้สึกสดชื่นโดยเร็วเมื่อกินน้ำตาลเจ้าไป แต่จะรู้สึกอ่อนเพลียตามมาได้ในระยะต่อไป ตับอ่อนต้องทำงานมากขึ้นเมื่อมีน้ำตาลในร่างกายมาก เพราะตับอ่อนจะต้องหลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่อยู่เสมอ เมื่อใช้งานหนักเกินไปตับอ่อนจะอ่อนแอ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเกิดเป็นโรคเบาหวานให้เราเห็น

                ถ้าเราไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ แต่ใช้ยาในการควบคุมน้ำตาลอย่างเดียว และยังคงกินน้ำตาลต่อไป โรคจะไม่หายและตับอ่อนจะยิ่งเสียการทำงานไปมากขึ้น ต่อไปก็จะเกิดโรคอื่นๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

                เราจึงควรลดน้ำตาลด้วยการไม่กินเข้าไปให้มาก แทนที่จะให้ยาไปลดน้ำตาลภายในร่างกาย เพราะฉะนั้นต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม นั่นคือแนวทางธรรมชาติบำบัด
 

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเดินเพื่อสุขภาพ


เมื่อท่านได้เริ่มเดินออกกำลังแล้วท่านควรตักตวงประโยชน์จากการเดินให้เต็มที่ เริ่มด้วยการวางโปรแกรมเพื่อให้รู้สึกอยากออกกำลังและติดตามผลได้ เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย รองเท้าควรเป็นชนิดผูกเชือกหรือสามารถปรับให้กระซับกับเท้าได้ พื้นรองเท้าควรยืดหยุ่นได้ดี และมีพื้นที่นูนเพื่อรับความโค้งของฝ่าเท้า ไม่ว่าท่านจะเดินที่ไหน เวลาใด ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเสมอ ใช้ถนนอย่างระมัดระวัง สังเกต สัญญานเตือนการหักโหม เมื่อรู้สึกเหนื่อยเกินไปควรหยุดพัก หากท่านมีอาการบาดเจ็บ ขณะเดินหรือมีความกังวลใจ เรื่องสุขภาพใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์

วางแผนการเดินออกกำลัง
ท่านสามารถวางแผนการเดินออกกำลังโดยค่อย ๆ เพิ่มความถี่ เพิ่มระยะเวลาที่เดินและเพิ่มระยะทางที่เดิน เมื่อท่านเดินไปได้ 10 สัปดาห์แล้ว ให้รักษาระดับชีพจรเป้าหมายไว้เสมอ บางท่านเมื่อได้เดินออกกำลังจนเคยชินแล้ว จะรู้สึกออกกำลังให้สม่ำเสมอได้โดยไม่ต้องพึ่งตารางหรือการวางแผนอีก

ระดับเริ่มต้น
ตารางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกาย มีโรคประจำตัว มีน้ำหนักเกิน
เป็นโรคอ้วน สูบบุหรี่หรืออายุมากกว่า 40 ปี
สัปดาห์
12345678910
ระยะเวลาที่เดิน10101518202025303235
จำนวนครั้ง
ที่เดินต่อสัปดาห์
23333-444444
ระยะทาง เริ่มต้นสัปดาห์แรกราว 1 กิโลเมตร หรือ ครึ่งไมล์ แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 5 กิโลเมตร หรือ 2 ไมล์ เมื่อครบสัปดาห์ที่ 10



ระดับกลาง
ตารางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ
หรือผู้ที่ปฏิบัติตามตารางแรกแล้วชีพจรยังไม่เร็วถึงระดับชีพจรเป้าหมาย

สัปดาห์
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
ระยะเวลาที่เดิน
20
22
25
30
30
35
35
40
42
45
จำนวนครั้งที่เดินต่อสัปดาห์
3
3
3
3
4
4
4-5
4-5
4-5
4-5
ระยะทาง
เริ่มต้นสัปดาห์แรกราว 2 กิโลเมตร หรือ หนึ่งไมล์ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 8 กิโลเมตร หรือ 3 ไมล์ เมื่อครบสัปดาห์ที่ 10

ระดับสูง
หากท่านแข็งแรงและมีสุขภาพดีมาก ท่านอาจไม่จำเป็นต้องอาศัยตาราง อีกต่อไป ท่านอาจเลือกเดินขึ้นเนินเพื่อให้ชีพจรถึงค่าเป้าหมายได้เร็วขึ้น


การแต่งกายเพื่อเดินออกกำลังกาย
ข้อดีอย่างหนึ่งของการเดินคือ ท่านสามารถเลือกเสื้อผ้าอะไรก็ได้ ที่ท่านชอบโดยดูตามสภาพอากาศ อุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นรองเท้าที่เหมาะสมสักคู่หนึ่งคู่
โครงสร้างรองเท้าที่เหมาะสำหรับใส่เดินออกกำลัง
รองเท้าที่ดีต้องปกป้องเท้าของท่านขณะที่เดินออกกำลัง วัสดุที่ใช้ทำรองเท้าอาจเป็นหนังหรือไนลอน เพื่อการระบายอากาศที่ดี ควรมีหมอนรองโค้งของฝ่าเท้า และส้นรองเท้าควรเสริมเพื่อให้นุ่ม
เดินออกกำลังอย่างปลอดภัย
แม้ว่าการเดินจะเป็นวิธีการออกกำลังที่ปลอดภัยที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง แต่การระมัดระวังขณะอยู่บนถนนจะลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ ความปลอดภัยที่ว่ายังหมายรวมถึงการใส่ใจกับสัญญานเตือนของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อออกกำลังหนักเกินไป และรีบปรึกษาแพทย์หากเกิดปัญหาสุขภาพ

เคล็ดลับเพื่อความปลอดภัย
ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วทุกวัน เพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไป
หากท่านเดินออกกำลัง ตอนกลางคืน ควรเดินกับเพื่อน และใส่เสื้อผ้าที่ผู้ขับขี่ยานพาหนะ มองเห็นได้ชัด
ควรออกกำลังในทิศที่สวนกับรถวิ่ง และเดินบนพื้นเรียบ เพื่อป้องกันการลื่น หรือหกล้ม
หากท่านสวมหูฟังเพลง เพื่อที่ท่านยังสามารถได้ยินเสียงแตรรถยนต์
อย่าสวมปลอกถ่วงน้ำหนักที่ข้อเท้า เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บต่อหลังและข้อต่อได้
พกบัตรประจำตัวและเหรียญไว้ หากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะ
          หลีกเลี่ยงแดดจัดโดยสวมหมวกและทายากันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15

สัญญานเตือนว่าท่านหักโหมเกินไป
ท่านอาจรู้สึกหายใจไม่ทัน เวียนศรีษะ รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หัวใจเต้นแรง ใจสั่น ปวดแขนหรือเจ็บหน้าอก ท่านควรเดินให้ช้าลงทันทีหรือหยุดพักก่อน หากข้อเท้าของท่านเคล็ดหรือแพลง ควรงดการเดินออกกำลังจนกว่าจะหาย
ปรึกษาแพทย์ทันที หากท่านรู้สึกเจ็บหน้าอก หรือเกิดการบาดเจ็บ เช่น ข้อเท้าแพลง ซึ่งไม่ทุเลาหลังจากหยุดพักแล้ว เป็นเวลา 2-3 วัน

โยคะเพื่อสุขภาพ เลือกยังไงให้เหมาะกับตัว


โยคะเพื่อสุขภาพ เลือกยังไงให้เหมาะกับตัว (Lisa)
         
          เดี๋ยวนี้คอร์สโยคะเกิดขึ้นมากมายจนเลือกไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้าเข้าใจแก่นโยคะดี ๆ ศาสตร์แห่งสุขภาพและความแข็งแรงนี้มีอยู่เพียงไม่กี่อย่างหรอกค่ะ

          สาวกโยคะในดินแดนฮอลลีวูดมีมากหน้า นับแต่นักร้องสาวสะโพกดินระเบิดอย่าง เจนนิเฟอร์ โลเปซ ไปจนถึงนักร้องรุ่นป้าอย่าง มาดอนน่า  หรือนักแสดงแถวหน้าอย่าง กวินเน็ธ พัลโทรว์ หรือ นาโอมิ วัตต์ และนักแสดงรุ่นเดอะอย่าง เม็ก ไรอัน ฯลฯ ซึ่งไม่เพียงแต่เซเลบสาว ๆ เท่านั้นที่หันมาสนใจสุขภาพด้วยการฝึกโยคะ นักร้องหนุ่มละตินอย่าง ริกกี้ มาร์ติน ก็หันมาฝึกโยคะอย่างจริงจังเช่นกัน

          แล้วอะไรที่ทำให้เหล่าคนดัง รวมทั้งคนธรรมดาอย่างเรา ๆ หันมานิยมศาสตร์นี้กันมากขึ้น

 โยคะคืออะไร

          ถ้าตามศัพท์ภาษาสันสกฤตคำว่า "โยคะ" แปลว่ารวม เต็ม หรืออีกนัยหนึ่งคือองค์รวม ซึ่งแก่นของการเล่นโยคะต้องทำให้เกิด...

           การพัฒนาจิต โดยเฉพาะการฝึกจิตให้นิ่ง และบริหารจิตให้เข้มแข็งจนถึงขั้นยกระดับจิตให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป

           การพัฒนาความสมดุล ทั้งสมดุลต่อตัวเองสมดุลต่อตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งสมดุลต่อตัวเอง และสิ่งแวดล้อม

           การรวมกายและจิตเข้าด้วยกัน เพื่อให้มีสติ

          สรุป โยคะก็คือศาสตร์การฝึกฝนตัวเองที่มีรากฐานมาจากอินเดียโบราณ ซึ่งศาสตร์นี้จะฝึกเราในทุก ๆ มิติ เช่น กาย จิต อารมณ์ บุคลิกภาพ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นองค์รวมของการพัฒนามนุษย์

 โยคะ มีกี่แบบกันเนี่ย

          แม้จะมีคนเปิดคอร์สสอนโยคะกันมากมาย ทั้งโยคะร้อน โยคะเย็น โยคะผสมพิลาทีส โยคะผสมไทเก็ก หรือแม้กระทั่งโยคะเปลือยที่กำลังฮือฮาในต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราสามารถจัดกลุ่มโยคะออกเป็นแค่ 4 กลุ่มใหญ่ ๆ

           กลุ่มราชาโยคะ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การควบคุมจิตกระทั่งเข้าถึงความหลุดพ้น

           กลุ่มกรรมะโยคะ โยคะเพื่ออุทิศตนให้ผู้อื่น ผู้ฝึกโยคะแบบนี้ จะทำงานเพื่อรับใช้ผู้อื่นไปจนกระทั่งถึงความหลุดพ้น

           กลุ่มญาณโยคะ โยคะที่เน้นการใช้ปัญญา ซึ่งผู้ฝึกจะฝึกจนกว่าจะเข้าสู่ความหลุดพ้น

           กลุ่มภักดีโยคะ ที่ยังคงนิยมกันมากในอินเดีย แม้กระทั่งปัจจุบัน ผู้ฝึกจะเน้นเรื่องศรัทธาโดยการสวดมนต์ แล้วเปล่งเสียงกระทั่งตัวเองไปสู่ความหลุดพ้น

          อย่างไรก็ดี ภายหลังมีการพัฒนาโยคะออกมาในหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถจัดกลุ่มโยคะที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันออกได้เป็น...

           กลุ่มที่เน้นการฝึกกายภาพเป็นหลัก กลุ่มนี้จะฝึกเน้นท่าโยคะอาสนะต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกาย แข็งแรง และบำบัดรักษาโรคได้ เช่น Bikram Yoga, Power Yoga, Astanga Yoga ฯลฯ

           กลุ่มที่เน้นวิถีชีวิตโดยรวม ซึ่งจะเน้นทั้งการฝึกท่าโยคะอาสนะ การฝึกสมาธิ และการถือศีล

           กลุ่มที่เน้นการฝึกพลังปราณ หรือพลังชีวิต กลุ่มนี้จะเน้นการฝึกควบคุมจิต ฝึกลมหายใจ เช่น สหจะโยคะ กุณฑาลินีโยคะ ฯลฯ

  แล้วใครเหมาะจะฝึกบ้างล่ะ

          คนทุกคนไม่จำกัดเพศ อายุ วัย แต่คนที่ป่วยด้วยโรคบางอย่าง เช่น หมอนรองกระดูกเสื่อม หรือบาดเจ็บกล้ามเนื้อแขนหรือคอ ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน อีกอย่างผู้หญิงที่มีประจำเดือนควรงดฝึกโยคะ เพราะแรงกดจากการฝึกท่าอาสนะอาจกระทบกระเทือนระบบสืบพันธุ์ ซึ่งอาจทำให้เลือดออกมากขึ้น นอกจากนั้นผู้หญิงตั้งครรภ์ ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะฝึกท่าอาสนะใด ๆ

  ควรฝึกเวลาไหน

          ถ้าหากเวลาตื่นเช้า ๆ ได้ ควรเลือกฝึกโยคะตอนเช้า และหมั่นฝึกให้เป็นนิสัย เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย นอกจากนั้นควรหาเวลาในการฝึกประมาณ วันละ 15-60 นาที ซึ่งควรดูความเหมาะสมของร่างกายตัวเองว่า รับไหวแค่ไหน ส่วนสถานที่ควรเลือกฝึกในห้องที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก และควรเป็นที่ที่สงบพอสมควร อย่างไรก็ดี ใครที่จะฝึกโยคะควรฝึกตอนท้องยังว่างอยู่ ไม่ก็ให้ห่างจากการกินอาหารหนักมาถึง 4 ชั่วโมงแล้ว หรือห่างจากอาหารเบา ๆ สัก 2 ชั่วโมง

 แล้วฝึกโยคะให้สมบูรณ์มีวิธีปฏิบัติอย่างไร

ถ้าจะให้ผลดี ผู้ฝึกโยคะต้องปฏิบัติตามหลักการทั้ง 5 อย่างนี้...

           ปฏิบัติอาสนะ ซึ่งท่าอาสนะมีอยู่หลายท่า แต่สามารถแยกย่อยออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ อาสนะเพื่อสมาธิ เช่น ปทุมอาสนะ สิทธาอาสนะ วัชระอาสนะ และอาสนะเพื่อการผ่อนคลาย เช่น สวะอาสนะ (ท่าศพ) มัคระอาสนะ (ท่าจระเข้) สุดท้ายคืออาสนะเพื่อสร้างสมดุล เช่น วัคระอาสนะวฤกษ์อาสนะ หาละอาสนะ ภุชงค์อาสนะ ฯลฯ

           ฝึกลมหายใจ

           ฝึกการผ่อนคลาย

           กินอาหารที่มีประโยชน์

           มองโลกในแง่บวก

 หลักในการฝึกท่าโยคะ (อาสนะ)

           ค่อย ๆ เคลื่อนไหว และควรหยุดนิ่งในช่วงที่มีการหยุดนิ่งในแต่ละท่า

           มีสติกับทุกการเคลื่อนไหว ไม่ว่าอาสนะนั้น ๆ จะเป็นท่าบิดเอว ยกแขน ยกขา หรือยกมือ รวมทั้งหายใจเข้าหรือออก ผู้ฝึกควรมีใจจดจ่ออยู่ทุกท่วงท่า พยายามมีความรู้สึกตัวอย่าเผลอไปคิดหรือกังวลเรื่องใด ๆ

           อย่าหักโหม เพราะหลายคนอาจจะอยากฝึกท่านั้นท่านี้ให้เป็นเร็ว ๆ เลยพยายามเร่งฝึก และโหมแรงมากเกินไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการฝึกโยคะควรฝึกอย่างช้า ๆ เป็นจังหวะที่ลงตัว ผู้ฝึกควรรู้ข้อจำกัดของตัวเองว่า เราควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้มากน้อยแค่ไหน และทำตามข้อจำกัดนั้น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ

           ลมหายใจเข้า-ออกต้องสอดคล้องกัน เวลาสูดอากาศเข้าควรให้พอดีกับท่วงท่าที่ฝึก แล้วพอปล่อยลมหายใจออก ก็ให้สุดลมหายใจเพื่อให้ร่างกายขับอากาศเสียออกมา ซึ่งการทำอย่างนี้ จะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

           ผ่อนคลายอารมณ์ อย่าเครียด ให้รู้สึกดี ๆ กับตัวเอง

           ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ อย่าไปรู้สึกว่าคนอื่นเก่งกว่าเรา และเราต้องแข่งขันกับเขา

 แล้วฝึกไปเพื่ออะไร

          หัวใจการฝึกโยคะก็เพื่อความนิ่ง และสบาย โดยใจกับกายต้องหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกัน ถ้ากายสบายใจก็จะสงบไปด้วย ซึ่งจะว่าไปแล้วการทำอาสนะถือเป็นรูปแบบของการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน โดยการนำจิตไปอยู่กับความเป็นอยู่ของกายว่าเคลื่อนไหวอย่างไร ค่อย ๆ ให้ใจรับรู้ว่ากายกำลังเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ และนุ่มนวล พอฝึกจนชำนาญจิตจะคุ้นเคยที่จะอยู่กับกายได้เป็นอย่างดี

          เมื่อรู้ถึงข้อดีของโยคะที่ช่วยทั้งเรื่องจิตใจ และร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ก็ลองเก็บโยคะไว้เป็นกีฬาที่ควรเล่นดูสักหน่อยจะเป็นไรคะ

 Did You Know?

          การฝึกโยคะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพราะทุกครั้งที่ฝึกท่าต่าง ๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อบีบเส้นเลือด ให้ไหลกลับเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว และขณะที่ฝึกเราต้องหายใจลึก ๆ ซึ่งช่วยให้ปอดได้ออกซิเจนอย่างเต็มที่ ก็จะนำออกซิเจนไปสู่กระแสเลือด และเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ

  ฝึกโยคะอย่างไรให้สุขภาพดี

            ฝึกอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากท่าที่ง่าย ๆ ก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นท่าที่ยากขึ้น แต่ทั้งนี้ ควรได้รับคำแนะนำจากครูผู้ฝึกก่อนว่า ร่างกายเราเหมาะกับท่าที่ยากนั้นหรือไม่

           เตรียมตัวให้ถูกต้องก่อนฝึก เช่น ควรอาบน้ำก่อนฝึกโยคะ หาแผ่นรองเล่นโยคะมาปู ไม่ก็หาเสื่อแล้วเอาผ้านุ่ม ๆ มาปูรองอีกชั้น

           ฝึกหายใจให้เป็น โดยหายใจเข้าแล้วกลั้นหายใจไว้โดยนับ 1-5 ไม่ก็ 1-10 เสร็จก็หายใจออก โดยให้ลมหายใจออกไปมากที่สุดแล้วนับใหม่ 1-5 ไม่ก็ 1-10

           ควรนวดหลังจากการฝึกโยคะแล้ว เพื่อกระตุ้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้หลั่งไขมันออกมาตามธรรมชาติ และระบบน้ำเหลืองรวมทั้งระบบเลือด จะถูกกระตุ้นให้ไหลเวียนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นการนวดยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกต่อหนึ่งด้วย

10 อันดับ น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ


 หนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ทำง่ายและได้ผลที่เรารู้จักกันก็คือ การลดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ เป็นต้น ซึ่งการดื่มน้ำผลไม้ก็เป็นอย่างหนึ่งที่สามารถดื่มทดแทนได้และยังให้ผลไปถึงการเสริมภูมิคุ้มกันโรคและลดน้ำหนักอีกด้วย นักวิชาการส่วนมากจึงแนะนำให้คุณดื่มน้ำผลไม้ในปริมาณเหมาะสมเพื่อสุขภาพ เรามาดู 10 อันดับน้ำผลไม้ที่ช่วยให้คุณหุ่นดีกันดีกว่า


1. น้ำแครอท – อุดมไปด้วยแคลเซียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงแคโรทีนที่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอภายในร่างกายมนุษย์และดูดซึมไปใช้ได้ทันที น้ำแครอทยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็งได้


2. น้ำบีทรูท - มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง อุดมด้วยโปแทสเซียม เหล็ก วิตามินซี และแมกนีเซียม ช่วยรักษาผู้ป่วยที่มีอาการสูญเสียความทรงจำและสมาธิสั้น และยังช่วยลดความเสียหายของร่างกายในผู้หญิงที่มีปัญหาปวดประจำเดือนอีกด้วย


3. น้ำแคลนเบอรี่ – มีวิตามินซีสูง เป็นที่รู้จักกันดีว่าน้ำแคลนเบอรี่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่เป็นปัญหาของผู้หญิงทั่วโลก สามารถนำไปปั่นกับกล้วยหอมเพื่อช่วยเพิ่มคุณค่าทางวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย และล่าสุดยังพบว่าน้ำแคลนเบอรี่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชิ้ออีโคไลที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้

4. น้ำลูกแพร์ – นับเป็นน้ำผลไม้ที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเพื่อการเสริมสร้างสุขภาพ โดยตัวน้ำลูกแพร์อย่างเดียวก็ให้ผลที่ดีแต่ก็สามารถผสมกับน้ำชนิดอื่นๆเพื่อเพิ่มสรรพคุณได้ มีวิตามินซี แคลเซียม โปแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ในปริมาณสูงซึ่งล้วนเป็นแร่ธาตุจำเป็นของร่างกาย


5. น้ำองุ่น – น้ำผลไม้สีม่วงนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์สมองเสื่อม และช่วยในเรื่องความจำ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคในร่างกาย

6. น้ำส้ม – น้ำที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพแท้ๆร้อยเปอร์เซ็นต์ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มอัตราไหลเวียนของเลือดในร่างกาย และอัตราการดูดซึมสารอาหาร จุดเด่นอยู่ที่วิตามินซีและฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่สูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อโรค


7. น้ำมะม่วง – ช่วยป้องกันโรคมะเร็งหลากหลายชนิด ช่วยทำความสะอาดโลหิตอันจะทำให้สุขภาพดี
ขึ้น อีกอย่างคือช่วยบำรุงไต น้ำมะม่วงมีรสชาติดี เอาไปผสมกับน้ำผลไม้อื่นเพื่อเพิ่มรสชาติได้ เช่น กีวีหรือกล้วย


8. น้ำบลูเบอรี่ ถ้าดูแค่สีอย่างเดียวเราก็พอจะเดาได้ ว่าเป็นน้ำที่เปี่ยมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และเส้นใยอาหาร นับว่าบำรุงสุขภาพแบบครบวงจรเลยทีเดียว อย่างนี้ต้องลอง



9. น้ำทับทิม – ถ้าคุณอยากมีหัวใจที่ดีต้องดื่มน้ำทับทิม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักโภชนาการล้วนแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้นี้ น้ำทับทิมเพียงอย่างเดียวให้สารต้านอนุมูลอิสระที่แทบจะครบทุกชนิด นับว่ามีประโยชน์มากสำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง


10. น้ำองุ่นคอนคอร์ด(Concord Grape Juice) – หากคุณกำลังเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคอื่นๆที่เกี่ยวข้องล่ะก็ น้ำองุ่นพันธุ์นี้คือคำตอบของคุณ เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในปริมาณมากและเข้มข้นด้วยจนกระทั่งสามารถลดความดันเลือดได้ ทั้งยังช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆอีกด้วย